|
ข่าวที่ผ่านมา |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
กำไร ขาดทุน ต้นทุนการผลิตฟาร์มสุกร เราจัดการได้ |
|
|
|
เนื่องจาก ราคาหน้าฟาร์มเป็นสิ่งที่เกษตรกรควบคุมไม่ได้ ต้องปล่อยให้ขึ้นหรือลงตามกลไกตลาด รวมถึงปัจจัยภายนอกต่างๆ ที่เข้ามากระทบ เช่น โรคระบาด และนโยบายหรือมาตรการภาครัฐที่เข้ามามีบทบาทในการกำหนดราคาจำหน่ายสุกรมากขึ้น เพราะฉะนั้น หากผู้เลี้ยงต้องการมีรายได้ หรืออยู่ได้ในภาวะเช่นนี้ ต้องบริหารจัดการต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพื่อลดต้นทุนการผลิตต่อหน่วยให้ต่ำที่สุด และเหลือกำไรมากที่สุด ช่วยให้อยู่ในธุรกิจการเลี้ยงสุกรต่อไปได้ |
|
ผศ.น.สพ.ณัฐวุฒิ รัตนวนิชโรจน์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน เผยว่า กำไรเกิดจาก "รายรับ" ที่ได้จากน้ำหนักที่ขายคูณกับราคาขายจริง โดยราคาขายจริงมีผลจากราคาในท้องถิ่น และคุณภาพซาก ส่วนน้ำหนักที่ขายมาจากจำนวนสุกรที่ขาย และน้ำหนักต่อตัว จำนวนตัวขายเกิดจากจำนวนแม่พันธุ์ และสุกรขุนต่อแม่ต่อปี ที่มีผลจากจำนวนลูกต่อแม่ต่อปี หักการสูญเสียหลังหย่านม ด้านจำนวนลูกต่อแม่ต่อปี เป็นผลจากจำนวนรอบต่อแม่ต่อปี และจำนวนลูกหย่านมต่อครอก ซึ่งรายรับต้องทำให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขณะที่ "รายจ่าย" คือ ต้นทุนการผลิต มาจาก ค่าอาหาร ค่าแรงงาน เงินลงทุน และอื่นๆ โดยค่าอาหาร มาจากปริมาณอาหารที่ใช้ อาจแตกต่างกันขึ้นกับสายพันธุ์ สภาพแวดล้อม การจัดการ และโรค ส่วนต้นทุนค่าอาหารต่อตันเกิดจากราคาวัตถุดิบและต้นทุนการเก็บรักษา รายจ่ายต้องจัดการให้ต่ำที่สุด เพื่อให้มีช่องว่างกำไรมากที่สุด เมื่อพิจารณา น้ำหนักที่ขาย เกิดจากอัตราการเจริญเติบโต และจำนวนวันเลี้ยง ดังนั้น อัตราการเจริญเติบโต จึงกำหนดรายได้ ส่วนปริมาณอาหารที่ใช้ เกิดจากประสิทธิภาพการเปลี่ยนอาหาร และน้ำหนัก แสดงให้เห็นว่า ประสิทธิภาพอาหารกำหนดรายจ่าย
ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพการเปลี่ยนอาหาร หรือ FCR เริ่มจาก "สูตรอาหาร" มีผลโดยตรงต่อราคาอาหารต่อกิโลกรัม แต่ต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องว่า ราคาอาหารต่อกิโลกรัมไม่ได้กำหนดต้นทุนการผลิตทั้งหมด เพราะหากทำอาหารถูก สุกรกินแล้วเติบโตไม่ดี ประสิทธิภาพการเปลี่ยนอาหารแย่ลง สุกรต้องใช้อาหารเพิ่มขึ้น ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยก็สูงขึ้น แตกต่างจากการประกอบสูตรอาหารที่ดี ราคาค่าอาหารอาจจะสูง หรือไม่ถูกที่สุด แต่สุกรกินแล้วโตได้ดี ประสิทธิภาพการเปลี่ยนอาหารดี ช่วยให้ใช้อาหารน้อยลงต้นทุนการผลิตต่อหน่วยก็ต่ำลง ดังนั้น จึงต้องประกอบสูตรอาหารให้ตรงกับความต้องการของสุกรในแต่ละช่วงอายุ เพื่อให้สุกรกินได้ดี มีคุณภาพซากดี
"คุณภาพวัตถุดิบ" แต่ละฟาร์มควรตรวจสอบว่า มีปริมาณสารอาหารตรงกับค่ามาตรฐานที่ใช้ในการคำนวณสูตรอาหารหรือไม่ เพราะหากไม่ตรงกับค่ามาตรฐาน เมื่อนำไปผลิตเป็นอาหารเลี้ยงสุกรก็ได้รับสารอาหารไม่ตรงกับความต้องการ ส่งผลกระทบให้อัตราการเจริญเติบโต และประสิทธิภาพการเปลี่ยนอาหารแย่ลง พร้อมกันอาหารต้องไม่มีการปนเปื้อนสารพิษจากเชื้อรา สารพิษจากแบคทีเรีย หรือเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นอันตราย ไม่มีการเสื่อมสภาพ เช่น หืน เก่า หมดอายุ หรือมีความชื้นสูง ผ่านกระบวนการผลิตที่ดี โดยปลายข้าวนึ่งต้องสุก กากถั่วเหลืองต้องไม่ไหม้ หรือวัตถุดิบใช้แล้ว โดยเฉพาะน้ำมันใช้แล้วไม่ควรนำมาใช้ในสูตรอาหาร แม้ราคาถูกแต่จะทำให้เกิดผลเสียภายในฟาร์ม ต่างจากการใช้น้ำมันคุณภาพดี ราคาอาจจะสูง แต่ใช้ปริมาณน้อย และเกิดประโยชน์ตอบแทนมากกว่า
"การย่อยได้" การย่อยได้เป็นสิ่งสำคัญต่อการเลี้ยงสุกร โดยในสุกรเล็กต้องทำให้อาหารย่อยได้สูง เพื่อให้สุกรย่อยและดูดซึมได้ดี ช่วยให้อัตราการเจริญเติบโตและประสิทธิภาพการผลิตสูงขึ้น แต่ปัจจุบันเกษตรกรซื้ออาหารโดยพิจารณาจากระดับสารอาหารหรือโปรตีนเป็นหลัก แต่ไม่ได้พิจารณาการย่อยได้เลย ทั้งที่สารอาหารที่นำไปใช้ได้จริง คือ ส่วนที่ย่อยได้ นอกจากนั้นยังมีปัจจัยที่มีผลต่อการย่อยได้ เริ่มจากการเลือกใช้วัตถุดิบว่า ชนิดของวัตถุดิบเป็นอย่างไร ย่อยได้ดีหรือไม่ มีการเสื่อมสภาพและมีสารยับยั้งโภชนะหรือไม่ มีขบวนการผลิตเป็นอย่างไร การบดและการอัดเม็ดจะช่วยให้การย่อยได้ดีขึ้น เอนไซม์ที่มีและไม่มีในตัวสัตว์ การใช้สารเสริมต่างๆ ที่พรีไบโอติกและโปรไบติก รวมถึงโรคที่มีผลต่อการย่อยและการดูดซึมสารอาหารของสุกร โดยเฉพาะโรคอีไลติส
จากการที่วัตถุดิบแต่ละชนิดมีการย่อยได้แตกต่างกัน ดังนั้น การเลือกวัตถุดิบจำเป็นต้องพิจารณาค่าสัมประสิทธิ์การย่อยได้ในมูล และค่าสัมประสิทธิ์การย่อยได้ในลำไส้เล็ก ประกอบด้วย โดยหากวัตถุดิบมีค่าสัมประสิทธิ์การย่อยได้ยิ่งมากยิ่งดี เพราะแสดงว่า วัตถุดิบย่อยและดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้มาก ตัวอย่างเช่น เนื้อกระดูกป่นมีค่าสัมประสิทธิ์การย่อยได้ค่อนข้างต่ำ กษตรกรซื้อเนื้อกระดูกป่นมาใช้คิดว่า สุกรจะได้รับโปรตีนสูง แต่เมื่อใช้จริงสุกรย่อยไม่ได้ ก็ได้รับโปรตีนไม่เพียงพอกับความต้องการ เกิดผลเสียตามมา ขณะที่วัตถุดิบกลุ่มแป้ง การย่อยได้แตกต่างกันตามรูปแบบของวัตถุดิบ เช่น ข้าวโพด ที่ผ่านกระบวนการบดแตกต่างกันจะมีการย่อยได้ที่แตกต่างกันตามไปด้วย เนื่องจากการบดวัตถุดิบ ช่วยให้การย่อยได้เพิ่มขึ้น ส่งผลให้น้ำหนักครอกเพิ่มต่อวันของลูกสุกรดีขึ้น การย่อยของพลังงานสูงขึ้น ช่วยเพิ่มการกินได้ ยิ่งในภาวะราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์แพง การบดวัตถุดิบยิ่งมีความคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น การบดใช้ได้ในอาหารสุกรทุกช่วงอายุ โดยไม่ต้องกังวลปัญหาแผลในกระเพาะหรือกระเพาะทะลุ หากประกอบสูตรอาหารอย่างถูกต้อง มีเปลี่ยนเยื่อใยเหมาะสม และไม่ได้บดละเอียดจนเป็นแป้ง ก็มีโอกาสเกิดแผลในกระเพาะต่ำมาก
เอนไซม์ เป็นอีกตัวช่วยหนึ่งที่ช่วยเพิ่มการย่อยได้ เพราะสุกรที่ถูกปรับปรุงพันธุ์ให้เจริญเติบโตเร็ว สะสมเนื้อแดงมากขึ้น แต่กินอาหารลดลง หากต้องการให้ประสิทธิภาพการเปลี่ยนอาหารและอัตราการเจริญเติบโตสูงขึ้น จำเป็นต้องเพิ่มการย่อยและการดูดซึมสารอาหารไปใช้ประโยชน์ได้เพิ่มขึ้น เพราะเกษตรกรคงยกระดับคุณภาพอาหารเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้ การเสริมเอนไซม์ จึงเป็นทางเลือกที่ดี และมีความคุ้มค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่วัตถุดิบราคาแพง
"เมื่อวิเคราะห์ต้นทุนการผลิตพบว่า ต้นทุนสุกรหย่านมคิดเป็น 20 เปอร์เซ็นต์ของต้นทุนทั้งหมด ต้นทุนค่าอาหารสุกรขุนคิดเป็น 60 กว่าเปอร์เซ็นต์ หากรวมอนุบาลเข้าไปด้วยต้นทุนค่าอาหารจะอยู่ที่ 70 กว่าเปอร์เซ็นต์ หรือถ้ารวมถึงอาหารแม่พันธุ์ ค่าอาหารคิดเป็นต้นทุนประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ สอดคล้องกับกับกระแสเงินสดในฟาร์มเป็นค่าอาหารและยาผสมอาหาร หากต้องการลดต้นทุนต้องลดที่ค่าอาหาร และ ประสิทธิภาพการเปลี่ยนอาหาร หรือ FCR
จากการพิจารณาการเจริญเติบโตของสุกร พบว่า ณ น้ำหนักจับขาย ยังเป็นช่วงที่สุกรยังเจริญเติบโตได้ดี โดยจากการศึกษาพบว่า สุกรจะหยุดเติบโตที่ประมาณท้องที่ 2-3 แสดงว่า ตลอดระยะเวลาเลี้ยงจนขุนขายนั้น สุกรยังเติบโตได้อยู่ หากยังได้รับอาหาร แต่เมื่อพิจารณาการสะสมโปรตีนพบว่า ระยะ 60 กิโลกรัมแรก สุกรสะสมโปรตีนหรือเนื้อแดงมากกว่าไขมัน หลังจากน้ำหนัก 60 กิโลกรัมเป็นต้นไป จะสะสมไขมันมากกว่าเนื้อแดง ดังนั้น จึงจัดระยะให้อาหารสุกรที่เหมาะสมได้ เนื่องจากสุกรน้ำหนักต่ำกว่า 60 กิโลกรัม เมื่อได้รับอาหารเพิ่มขึ้นจะยังสะสมเนื้อแดงได้ ตรงกันข้ามเมื่อน้ำหนักเกิน 60 กิโลกรัม ถ้าได้รับอาหารเกินจะหยุดสะสมเนื้อแดงแล้วเปลี่ยนไปสะสมไขมันแทน"
"เปอร์เซ็นต์สูญเสีย" เป็นอีกปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพการเปลี่ยนอาหาร เพราะหากฟาร์มมีเปอร์เซ็นต์การสูญเสียสูง โอกาสที่จะทำให้ประสิทธิภาพการเปลี่ยนอาหารดี แทบจะเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากประสิทธิภาพการเปลี่ยนอาหาร คำนวณจาก ปริมาณอาหารที่ใช้ กับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น โดยไม่นับน้ำหนักสุกรตาย แต่รวมน้ำหนักสุกรคัดทิ้ง เพื่อบอกว่า การเพิ่มน้ำหนักสุกร 1 กิโลกรัม ใช้อาหารเท่าใด ดังนั้น น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นไม่นับรวมสุกรตาย คือ ยิ่งสุกรตายมากเท่าใด ตัวหารยิ่งเพิ่มขึ้น หากฟาร์มมีเปอร์เซ็นต์การสูญเสียสูง ประสิทธิภาพการเปลี่ยนอาหารจะไม่ดี อัตราการเจริญเติบโตต่ำ เนื่องจากคำนวณจากน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นไม่นับรวมสุกรตาย แต่รวมสุกรคัดทิ้ง และหารด้วยวันเลี้ยงเฉลี่ย ซึ่งจากการศึกษาพบว่า หากเปอร์เซ็นต์สูญเสียสูงขึ้น ประสิทธิภาพการเปลี่ยนอาหารจะแย่ลงตามไปด้วย
"อัตราการเจริญเติบโต" มีผลต่อรายรับของฟาร์ม ซึ่งเกิดจากจำนวนตัวคูณน้ำหนักและราคาจำหน่าย โดยน้ำหนักเกิดจากอัตราเจริญเติบโตและจำนวนวันเลี้ยง หากเลี้ยง 120 วัน สุกรมีอัตราการเจริญเติบโตต่างกัน 10 กรัมต่อวัน น้ำหนักที่ขายจะต่างกันประมาณ 1.2 กิโลกรัม แต่ถ้าอัตราการเจริญเติบโตต่างกัน 50 กรัมต่อวัน น้ำหนักขายจะแตกต่างกันถึง 6 กิโลกรัมต่อวัน ถือเป็นรายได้ที่แตกต่างกันมาก ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการเจริญเติบโตและประสิทธิภาพการเปลี่ยนอาหาร เมื่ออัตราการเจริญเติบโตสูง ประสิทธิภาพการเปลี่ยนอาหารจะต่ำ ดังนั้น หากลงขุนที่น้ำหนัก 25 กิโลกรัม จับขายที่น้ำหนัก 105 กิโลกรัม น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น 80 กิโลกรัม หากอัตราการเจริญเติบโต 800 กรัมต่อวัน จะใช้เวลาเลี้ยง 100 วัน แต่ถ้าอัตราการเจริญเติบโต 700 กรัมต่อวัน ต้องใช้เวลาเลี้ยง 114 วัน ต่างกันถึง 14 วัน ถือเป็นต้นทุนที่แตกต่างกันมาก จึงต้องจัดการฟาร์มให้มีอัตราการเจริญเติบโตสูงให้ได้ เพราะจะช่วยให้ประสิทธิภาพการเปลี่ยนอาหารดีขึ้น
"น้ำหนักขายขุน" สุกรขุนตัวใหญ่จะมีประสิทธิภาพการเปลี่ยนอาหารสูงกว่าสุกรขุนตัวเล็ก เพราะอาหารสุกรขุนมีพลังงานต่ำ ทำให้การสะสมเนื้อแดงน้อย และสะสมไขมันมากขึ้น โดยการสะสมไขมันจะใช้พลังงานสูงกว่าการสะสมเนื้อแดง และการใช้พลังงานเพื่อดำรงชีวิตของสุกรในช่วงท้ายจะสูงกว่าสุกรในช่วงแรก เพราะฉะนั้น การขายสุกรน้ำหนักน้อยจะให้ประสิทธิภาพการเปลี่ยนอาหารที่ลดลงเสมอ แต่อาจไม่ได้กำไรต่อตัวสูงสุด ถ้าวัตถุดิบราคาถูก สุกรราคาแพง ต้นทุนต่อกิโลกรัมต่ำกว่า อาจได้กำไรต่อกิโลกรัมต่ำกว่า ถ้าน้ำหนักสุกรน้อย ราคาสุกรไม่ดี วัตถุดิบราคาแพง การขายสุกรน้ำหนักน้อย จะให้ผลดีกว่า คือ อาจได้กำไรหรือขาดทุนน้อยกว่า การจำหน่ายสุกรตัวเล็กจึงเหมาะสม เมื่อสุกรราคาไม่ดีและวัตถุดิบราคาแพง
"อาหารสูญเสีย" แบ่งเป็น การสูญเสียแบบตั้งใจ และการสูญเสียแบบไม่ตั้งใจ โดยการสูญเสียแบบตั้งใจ เช่น แม่พันธุ์อ้วน การล้างรางอาหาร เพราะทราบแล้วว่า ถ้าล้างรางแล้วจะเสียอาหารไปบ้างแต่ก็ทำ ในสุกรอนุบาลและขุน การล้างรางอาหารและอาหารเปียก ทำให้สุกรไม่กิน ต้องทิ้ง ส่วนการสูญเสียแบบไม่ตั้งใจ เช่น อาหารหก ตก หล่น และอาหารหาย ยกตัวอย่าง การสูญเสียในแม่พันธุ์แบบตั้งใจ ในฟาร์มขนาด 1,000 แม่ พบว่า เมื่อย้ายแม่อุ้มท้องเข้าคลอดแล้วแม่มีอาการหอบและตาย เจ้าของฟาร์มสงสัยว่า เกิดจากโรคพีอาร์อาร์เอส แต่เมื่อเข้าไปตรวจสอบพบว่า แม่พันธุ์อ้วนเกินไป และระยะทางระหว่างโรงเรือนอุ้มท้องและโรงเรือนคลอดค่อนข้างไกล เมื่อเดินทางไกลจึงเกิดปัญหาขึ้น จึงตรวจสอบอาหารแม่อุ้มท้องพบว่า กินที่ 2.55 กิโลกรัมต่อวัน ทั้งที่ ปกติแล้วอาหารแม่อุ้มท้องควรกินที่ 2.2-2.3 กิโลกรัมต่อวัน ดังนั้น ฟาร์มใช้อาหารเกิน โดยฟาร์ม 1,000 แม่ มีสุกรกินอาหารแม่อุ้มท้อง 770 แม่ กินอาหารเกินความจำเป็น 0.25 กิโลกรัม เพื่อให้สุกรอ้วนเพียงอย่างเดียว 770x0.25x30x14 = 80,850 บาทต่อเดือน ซึ่งถือว่าสูงมาก ดังนั้น ในภาวะปัจจุบันเกษตรกรต้องจัดการอาหารอย่างดี เพื่อลดต้นทุนการผลิต ขณะที่อาหารสูญเสียในสุกรขุนแบบตั้งใจ กรณีอาหารหกหล่น หากสุกรกินอาหาร 200 กิโลกรัมต่อวัน ประสิทธิภาพการเปลี่ยนอาหาร 2.5 น้ำหนักเพิ่ม 80 กิโลกรัม เลี้ยง 114 วัน ถ้าอาหารหก 1 ขีดต่อตัวต่อวัน
จะทำให้ประสิทธิภาพการเปลี่ยนอาหารเพิ่มเป็น 2.64 ต้นทุนการผลิตต่อตัวเพิ่มขึ้น 180 บาท หากหก 0.5 ขีดต่อวัน ประสิทธิภาพการเปลี่ยนอาหารจะเพิ่มเป็น 2.57 ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น 91 บาทต่อตัว ดังนั้น ฟาร์มที่มีอาหารหกหล่นมากจะมีต้นทุนการผลิตสูง
"พันธุกรรม เปอร์เซ็นต์เนื้อแดง และประสิทธิภาพการเปลี่ยนอาหาร" การลงทุนในพันธุกรรมถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว และคิดเป็นสัดส่วนน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด โดยแม่พันธุ์ต้องลูกดก พ่อพันธุ์ต้องมีเนื้อแดงมาก เมื่อเปอร์เซ็นต์เนื้อแดงเพิ่ม ประสิทธิภาพการเปลี่ยนอาหารจะลดลง ดังนั้น สุกรสายพันธุ์ที่มีเนื้อแดงมากมีโอกาสทำประสิทธิภาพการเปลี่ยนอาหารได้ดีกว่า สายพันธุ์ที่มีไขมันมาก และแนวโน้มในอนาคต การกินเฉลี่ยต่อตัวต่อวันลดลงเรื่อยๆ ขณะที่การเจริญเติบโตและการสะสมเนื้อแดงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การเลือกพันธุกรรมเพื่อให้ประสิทธิภาพการเปลี่ยนอาหารดีจึงเป็นสิ่งสำคัญ และเกษตรกรต้องให้ความสำคัญกับการปรับปรุงพัฒนาพันธุ์อย่างต่อเนื่อง
เมื่อประสิทธิภาพการเปลี่ยนอาหารของฟาร์มดีขึ้น นอกจากจะช่วยให้ต้นทุนการผลิตลดลงแล้ว หากฟาร์มมีโรงผสมอาหารเองจะใช้อาหารลดลง ช่วยลดค่าไฟฟ้าด้วยการเลี่ยงการใช้ไฟฟ้าในช่วงราคาแพงได้ง่าย ถ้าอาหารสุกรคิดเป็น 60 เปอร์เซ็นต์ของกำลังการผลิต หากประสิทธิภาพการเปลี่ยนอาหารดีขึ้น 15-20 เปอร์เซ็นต์ ปริมาณการผลิตอาหารจะลดลง 10-15 เปอร์เซ็นต์ การขนส่งและการรับวัตถุดิบจะง่าย แรงงานทำงานสะดวกขึ้น การเสื่อมของอุปกรณ์ลดลง การกินอาหารต่อตัวต่อวันลดลง ช่วยลดการใช้ยาผสมอาหาร แร่ธาตุ พรีมิกซ์ และสารเสริม นอกจากนี้ยังเกิดประโยชน์อื่นๆ ตามมาอีกมากมาย
ข้อมูลโดย นิตยสาร พิก แอนด์ พอร์ค
|
|
ข้อมูลโดย นิตยสาร พิก แอนด์ พอร์ค |
|
|