|
|
ไข่ไก่ราคา "ตกต่ำ" ปัญหาของใคร...??? |
|
|
|
หลังจากมีมติคณะรัฐมนตรีอนุญาตให้นำเข้าพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่เสรีส่งผลให้จำนวนไก่ยืนกรง และผลผลิตไข่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้มีโรคระบาดและปัญหาน้ำท่วมมากระทบให้ผลผลิตลดลงไปบ้าง แต่หลังจากเกษตรกรควบคุมป้องกันโรคได้ และปัญหาภัยพิบัติผ่านพ้นไป ราคาไข่ไก่คละหน้าฟาร์มก็ปรับลดลงทันที ดังเห็นได้จากช่วงปลายปี 54 มาจนถึงปี 55 เนื่องจากผลผลิตไข่ล้นตลาด ราคาตกต่ำ สวนทางกับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นตามราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ผู้เลี้ยงไก่ไข่ โดยเฉพาะรายย่อย ขาดทุนอย่างรุนแรง ส่งผลให้มีการดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อยกระดับราคาไข่ไก่ให้พออยู่ได้ และลดปัญหาผลผลิตล้นตลาดและราคาตกต่ำ ประคับประคองธุรกิจให้ผ่านวิกฤตนี้ไปได้ |
|
หลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติ เปิดให้มีการนำเข้าพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่เสรีในปี 53 ส่งผลให้ปริมาณไก่ไข่ยืนกรงในปี 54 เพิ่มเป็น 40 ล้านตัว มีผลผลิตไข่เฉลี่ย 31.73 ล้านฟองต่อวัน ซึ่งเกินความต้องการบริโภคที่มีเพียง 28-29 ล้านฟองต่อวัน ต่อมาในปี 55 คาดว่า ปริมาณไก่ไข่ยืนกรงเฉลี่ยทั้งปีที่ 54 ล้านตัว โดยช่วงเดือนมกราคมจะมีไก่ยืนกรง 45 ล้านตัว และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 60 ล้านตัว ในเดือนธันวาคม ปี 55 ขณะที่ผลผลิตไข่เฉลี่ยอยู่ที่ 40 ล้านฟองต่อวัน โดยช่วงเดือนมกราคาจะอยู่ที่ 34 ล้านฟองต่อวัน และเพิ่มเป็น 45 ล้านฟองต่อวัน ในเดือนธันวาคมนี้ เมื่อเทียบกับปริมาณไข่ก่อนเปิดนำเข้าเสรี ถือว่าเพิ่มขึ้นกว่า 44 เปอร์เซ็นต์ หรือต้องรณรงค์ให้คนไทยบริโภคไข่เพิ่มขึ้นเป็น 255 ฟองต่อคนต่อปี และผลกระทบจากการนำเข้าเสรีจะต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 18 เดือน ซึ่งอาจไม่กระทบกับบริษัทหรือรายใหญ่ที่มีธุรกิจครบวงจรมากนัก แต่รายกลางรายย่อยที่ไม่ได้ทำครบวงจรจะอยู่อย่างไร ดังนั้น ในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้เลี้ยงในแต่ละภูมิภาคได้รับผลกระทบอย่างไร มีมาตรการรับมือหรือแก้ไขปัญหาอย่างไร เพื่อให้อยู่รอดในธุรกิจการเลี้ยงไก่ไข่ได้ โดยปัญหานี้ถือว่า เป็นปัญหาของใคร ปัญหาของเกษตรกรผู้เลี้ยง หรือเป็นปัญหาของชาติ |
|
จำนวนแม่ไก่และผลผลิตไข่
รายการ |
หน่วย |
2554 |
2555 |
ม.ค.55 |
ธ.ค.55 |
แม่ไก่ยืนกรง |
ล้านตัว |
40 |
54 |
45 |
60 |
ผลิตไข่ไก่เฉลี่ย |
ล้านฟอง/วัน |
31.73 |
40 |
34 |
45 |
ผลผลิตไข่เฉลี่ย |
ล้านฟอง/ปี |
11,378 |
14,866 |
12,411 |
16,424 |
ป.ส.ภ.การให้ไข่ |
ฟอง/ตัว/ปี |
296 |
296 |
296 |
296 |
หมายเหตุ : ป.ส.ภ. คือ ประสิทธิภาพการให้ไข่ |
|
การนำเข้าไก่ไข่พันธุ์ และปริมาณไก่ไข่นำเข้าเลี้ยง ปี 2554-2555
เดือน |
นำเข้าพ่อแม่พันธุ์
(ตัว) |
เคลื่อนย้ายเข้าเลี้ยง |
ไก่ไข่ปลดระวาง
(ตัว) |
ลูกไก่ไข่ (ตัว) |
ไก่ไข่รุ่น (ตัว) |
ม.ค.-54 |
47,434 |
3,018,382 |
1,734,571 |
3,757,608 |
ม.ค.-55 |
69,500 |
4,756,639 |
2,616,433 |
3,444,239 |
ปี 54/53 (เปอร์เซ็นต์) |
46.52 |
57.59 |
50.84 |
-8.34 |
|
|
ภาคเหนือ
คุณเจริญ นันโท อดีตประธานสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่เชียงใหม่ลำพูน เผยว่า สถานการณ์ไข่ไก่ในภาคเหนือยังลุ่มๆ ดอนๆ ราคาปรับไม่ได้ระดับเดียวกับภาคอื่น เนื่องจากจำนวนประชากรมีไม่มากนัก อีกทั้งยังมีอาหารให้เลือกหลายชนิดตามฤดูกาลต่างๆ ส่งผลให้การบริโภคไข่ไก่ค่อนข้างต่ำ ขณะที่ฟาร์มไก่ไข่มีจำนวนมาก รวมทั้งการขยายการผลิต เห็นได้จากการเข้าลูกไก่ของหลายฟาร์ม ส่งผลให้เกิดปัญหาผลผลิตไข่ล้นตลาดอยู่เป็นประจำ รวมทั้งเกษตรกรส่วนใหญ่เป็นรายย่อยเลี้ยงตั้งแต่ 1,000 ตัว ถึง 10,000 ตัว แต่ขาดการติดต่อสื่อสารมากเท่าที่ควร จึงไม่ทราบแนวโน้มสถานการณ์ เมื่อราคาเริ่มลด ต่างคนต่างก็เทขายออกมา ราคาก็ยิ่งตกต่ำรุนแรง สวนทางกับต้นทุนการผลิตที่ปรับขึ้นเรื่อยๆ ตามราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ และค่าขนส่ง โดยต้นทุนการผลิตของภาคเหนือสูง โดยปัจจุบันราคาไข่ไก่คละหน้าฟาร์มต่างจากราคาในภาคกลางประมาณ 10 สตางค์
ปัญหาไข่ไก่ ที่เกิดขึ้นนี้ถือเป็นปัญหาของเกษตรกรผู้เลี้ยง ที่ต้องพยายามดิ้นรนเอาตัวรอดเอง เพราะภาครัฐไม่เข้ามาช่วยเหลือเกษตรกรในช่วงราคาตกต่ำ แต่จะเข้ามาควบคุมทันทีเมื่อมีกระแสจากผู้บริโภคว่า ราคาไข่แพง ดังนั้น ช่วงราคาไข่ตกต่ำที่ผ่านมา ผู้เลี้ยงทางภาคเหนือจึงพยายามร่วมกันทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น การปลดไก่แก่ เพื่อลดปริมาณไข่ออกสู่ตลาด การร้องเรียนของความช่วยเหลือจากทางภาครัฐเท่าที่จะทำได้ รวมถึงการประชุมระดมสมองกำหนดทิศทางราคา แต่ก็มีบางรายที่นอกลู่นอกทางไม่ยอมปฏิบัติตามมติของเกษตรกรส่วนใหญ่ เช่น ได้ข้อสรุปให้ขึ้นราคา แต่ไม่ขึ้นตาม ทำให้ตลาดและราคาปั่นป่วน กระทบต่อผู้เลี้ยงทั้งระบบ แต่ระยะหลังมีมาตรการและการพูดคุยชี้แจงทำความเข้าใจ และขอความร่วมมือกันมากขึ้นปัญหานี้ก็ลดลง ขณะที่ราคาไข่จะมีการตกลงกำหนดราคาที่สหกรณ์ หรือชมรม โดยเริ่มจากราคาไข่คละหน้าฟาร์มก่อนกำหนดราคาไข่เบอร์ต่างๆ และดูว่า ไข่เบอร์ใดมีปัญหา ก็พยายามหาแนวทางแก้ไข เพื่อให้อยู่ได้ร่วมกัน |
|
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
คุณสุรพล เซ็นสุรี จากศรีวิโรจน์ฟาร์ม ตัวแทนเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เผยว่า ปัจจุบันไข่ไก่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือกำลังไปได้ดี โดยเฉพาะไข่เบอร์ใหญ่ตั้งแต่ 0-3 ขณะที่ไข่เบอร์เล็ก 4-5 การซื้อขายค่อนข้างช้า เนื่องจากมีไข่ไก่เบอร์เล็กจากภาคกลางเข้าไปจำหน่ายในราคาถูกในพื้นที่ เช่น นครราชสีมา ทำให้ราคาและการซื้อขายมีปัญหาเล็กน้อย ซึ่งหลังจากเผชิญปัญหาราคาไข่ตกต่ำมาหลายเดือน เมื่อสถานการณ์ดีขึ้นแล้ว ก็ต้องหาแนวทางรักษาเสถียรภาพราคาไข่ไก่ให้ยืนอยู่ในระดับที่เกษตรกรพอใจได้ต่อไป
สำหรับมาตรการแก้ไขในช่วงที่ราคาตกต่ำ ทางศรีวิโรจน์ฟาร์ม ใช้วิธีการปลดไก่ แต่แตกต่างกับการปลดทั่วไปที่นิยมปลดไก่แก่ ด้วยการปลดไก่ระยะกลาง เนื่องจากความต้องการไข่เบอร์ใหญ่ 0 และ 1 ยังสูงต่อเนื่อง ขณะที่เบอร์ 2 3 และ 4 มีปัญหาขายได้ค่อนข้างช้า ดังนั้น เมื่อไข่ล้นตลาด หากปลดไก่แก่ที่ให้ไข่เบอร์ใหญ่ที่ตลาดไปได้ดีอยู่แล้ว จึงได้ผลค่อนข้างช้า เพราะไข่เบอร์เล็กที่มีปัญหายังออกสู่ตลาดต่อเนื่อง แตกต่างการปลดไก่อายุ 45-60 สัปดาห์ ที่ให้ไข่ระหว่างเบอร์ 2 และ 3 เป็นการลดปริมาณไข่ที่มีปัญหาในการจำหน่ายลง สถานการณ์จะดีขึ้นอย่างชัดเจน พร้อมกันนั้น การแก้ปัญหาไข่ไก่ล้นตลาดและราคาตกต่ำ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีผู้ผลิตรายใหญ่ 3 ราย คือ ซีพี เบทาโกร และ ศรีวิโรจน์ฟาร์ม จึงใช้การพูดคุยกันเป็นประจำทุกสัปดาห์ เพื่อกำหนดทิศทางราคาไข่ไก่ในพื้นที่เหมาะสมกับความต้องการของตลาดในแต่ละช่วง ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงอื่นๆ ในพื้นที่
ที่สำคัญเกษตรกรนอกจากเป็นผู้เลี้ยงไก่ไข่แล้วต้องเป็นผู้ปลดไก่ด้วย เพราะหากต่างคนต่างเป็นผู้เลี้ยงเพียงอย่างเดียวจะเกิดปัญหาไข่ไก่ล้นตลาดเป็นประจำ จึงต้องเป็นทั้งผู้เลี้ยงและผู้ปลด คือ เมื่อไก่แก่ถึงกำหนดปลดก็ต้องปลด ไม่ต้องคิดว่า ช่วงนี้ราคาไก่ปลดดีหรือไม่ หรือราคาไข่ขณะนั้นเป็นอย่างไร ไม่ควรเห็นว่า ราคาไข่กำลังดีแล้วยืดอายุเลี้ยง เพื่อหวังทำกำไรในช่วงราคาดี เพราะไม่นานก็จะเกิดปัญหาไข่ล้นตลาดตามมา ยกตัวอย่าง ศรีวิโรจน์ฟาร์ม มีการปลดไก่เป็นประจำ และช่วยรายอื่นๆ ปลดด้วยในภาวะที่ไข่ไก่มีปัญหามากๆ เพื่อลดปริมาณไข่ไก่ในพื้นที่ ยกระดับราคาไข่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจได้ |
|
ภาคกลาง
คุณชัยพร สีถัน ตัวแทนเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ภาคกลาง เผยว่า ปัจจุบันสถานการณ์ไก่ไข่เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสข่าว หากราคาไข่ไก่กำลังปรับขึ้น มีข่าวออกมาว่า ไข่แพง รัฐก็เข้ามาควบคุม ทำให้ราคาลดลงทันที แต่ไม่มีใครสนใจว่า ต้นทุนการผลิตไข่ไก่วันนี้อยู่ที่เท่าใด และในขณะที่ปริมาณไข่ไก่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทุกคนต่างคาดหวังและพยายามผลักดันรณรงค์ให้ประชาชนเพิ่มการบริโภคเป็น 200 ฟองต่อคนต่อปี แต่ก็ต้องยอมรับความจริงว่า จำเป็นต้องใช้เวลา เพราะไม่มีวิธีการหรือข้อกำหนดใดมาบังคับผู้บริโภคให้ต้องรับประทานไข่
ดังนั้น จึงอยากให้เกษตรกรมองและดำเนินธุรกิจไก่ไข่แบบ 3 G ได้แก่ Gold ให้ถือเป็นยุคทองของการเลี้ยงไก่ไข่ ที่ทุกคนต้องประสบความสำเร็จ Grade คือ การยกระดับประสิทธิภาพการผลิต และคุณภาพไข่ไก่ ให้ดีขึ้น เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค และ Good คือ การเป็นคนดีมีส่วนรับผิดชอบต่อสังคมและส่วนรวม พร้อมกันนี้ เกษตรกรผู้เลี้ยงควรใช้สื่อทางอินเตอร์เน็ท และโซเชียลเน็ทเวิร์ค ต่างๆ เพราะปัจจุบันสื่อมีผลต่อราคาไข่ไก่ในประเทศเป็นอย่างมาก ดังที่ผ่านมา เมื่อไข่ไก่ราคาแพง ผู้บริโภคเริ่มร้องเรียน มีการนำเสนอข่าวราคาไข่แพงผ่านสื่อต่างๆ จนนำไปสู่การควบคุม ส่งผลให้ราคาตกต่ำในที่สุด ดังนั้น ต่อไปผู้เลี้ยงต้องติดตามข่าวสาร และสื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับการเลี้ยงไก่ไข่ผ่านทางอินเตอร์เน็ทและโซเชียลเน็ทเวิร์ค ซึ่งมีบทบาทกับการดำเนินชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น สถานการณ์ราคา แนวโน้มทิศทางตลาด ข้อมูลต้นทุน และความเดือดร้อนที่ได้รับ เพื่อนำไปใช้วางแผนการผลิต การตลาด หรือหากฟาร์มใดมีปัญหา ฟาร์มที่มีศักยภาพเพียงพอก็เข้าไปช่วยเหลือ เป็นการที่ทุกคนร่วมมือกันให้อยู่รอดในธุรกิจนี้ได้
การที่ไข่ไก่ราคาตกต่ำ ส่วนหนึ่งเกิดจากการมีไข่เหลือในฟาร์ม ส่งผลให้เกษตรกรบางรายตกใจ แล้วรีบเทขายออกมา เพราะเกรงว่า จะขาดทุน ซึ่งเกิดผลเสียกระทบต่อธุรกิจการเลี้ยงไก่ไข่ทั้งระบบ ดังนั้น ผู้เลี้ยงต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การเลี้ยงไก่ไข่แล้วมีไข่เหลือในฟาร์มนั้นเป็นเรื่องปกติ ยังมีเวลาในบริหารจัดการ เนื่องจากไข่ไก่เก็บในอุณหภูมิห้องได้ 20 วัน ถ้ามีไข่เหลือในฟาร์มเพียง 3 วัน แล้วตื่นเต้นรีบเทขายออกมาก็เข้าทางพ่อค้าคนกลางที่จะกดราคารับซื้อและทำให้ราคาไข่เสียทั้งระบบ โดยเชื่อว่า ไม่มีใครอยากขายไข่ราคาถูก เพราะไม่ใช่วิธีการเอาตัวรอดที่ถูกต้อง แต่เป็นการก่อปัญหาที่รุนแรงในระยะยาว จึงต้องสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ไม่ใช่ว่า ราคาดีไม่พูดคุยกัน แต่พอราคาลงกว่าจะพูดคุยกันก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว หรือต้นทุนการผลิตที่แต่ละฝ่ายไม่เคยตอบตรงกัน ฟาร์มใหญ่บอกว่าฟองละ 2.60 บาท ภาครัฐบอกว่า 2.40 บาท แต่รายย่อยบอกว่า ไม่รู้ต้นทุนเท่าใด ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องเร่งแก้ไข
ปัญหาไข่ไก่อยู่ที่เกษตรกรผู้เลี้ยงกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ และที่เหลืออีก 5 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่หน่วยงานภาครัฐอีก 5 กระทรวง ประกอบด้วย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์ เป็น 5 กระทรวงที่ช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ได้เมื่อราคาไข่ลง โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะเป็นพระเอกคนแรกที่เกษตรกรต้องเข้าไปพบ ชี้แจงให้ได้รับทราบถึงปัญหาและความเดือดร้อน ขณะที่กระทรวงพาณิชย์อาจเป็นที่พึ่งสุดท้ายที่ผู้เลี้ยงจะเข้าไป เนื่องจากบทบาทหน้าที่การควบคุมกำกับราคาจำหน่าย ทำให้เหมือนว่า เป็นศัตรูกับเกษตรกร
นอกจากนี้ เพื่อให้ธุรกิจไก่ไข่อยู่ได้อย่างยั่งยืน เกษตรกรผู้เลี้ยงต้องให้ความสำคัญกับการจัดการสิ่งแวดล้อมในฟาร์ม เพื่อไม่ให้เกิดมลภาวะรบกวนชุมชนที่อาศัยอยู่ใกล้เคียง พร้อมกับมีบทบาทในการช่วยเหลือสังคมในด้านต่างๆ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับการเลี้ยงไก่ไข่ เช่น การแจกไข่ในเทศกาลงานต่างๆ เป็นช่องทางหนึ่งที่ช่วยเพิ่มกำลังการบริโภค รวมถึงการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ผ่านทุกสื่อทุกช่องทางเกี่ยวกับประโยชน์ของไข่ไก่ เพื่อให้ผู้บริโภคหันมารับประทานไข่ไก่เพิ่มขึ้น ที่สำคัญเกษตรกรผู้เลี้ยงต้องมีความสามัคคีกันมากๆ มิฉะนั้น ราคาไข่ไก่ก็มีโอกาสลดลงได้อีก |
|
ภาคใต้
คุณปฐมพร รัตนวิเชียร ประธานชมรมผู้เลี้ยงผู้ค้าไข่ไก่นครศรีธรรมราช ตัวแทนเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ภาคใต้ เผยว่า เนื่องจากภาคใต้มีการเลี้ยงไก่ไข่ค่อนข้างน้อย มีฟาร์มขนาดใหญ่เพียงไม่กี่ราย และส่วนใหญ่เป็นของบริษัทเอกชน กำลังการผลิตไข่ยังไม่เพียงพอกับความต้องการบริโภค ทำให้มีไข่ไก่จากภาคอื่นๆ เข้ามาจำหน่ายที่ภาคใต้เป็นประจำ ส่งผลให้ผู้เลี้ยงภาคใต้กำหนดราคาไข่ไม่ได้ เพราะไข่จากภาคอื่นที่เข้ามาจำหน่ายจะขายในราคาถูกกว่า ทำให้ผู้เลี้ยงในภาคใต้ได้รับผลกระทบ เนื่องจากการเลี้ยงไก่ไข่ในภาคใต้มีต้นทุนการผลิตค่อนข้างสูง จึงอยากขอความอนุเคราะห์จากเกษตรกรภาคอื่นๆ ให้ช่วยลดการส่งไข่ลงภาคใต้ เพื่อให้ผู้เลี้ยงภาคใต้อยู่ได้
ด้านแนวทางแก้ปัญหาไข่ไก่ล้นตลาด และราคาตกต่ำนั้น เชื่อว่า ทำได้ไม่ยาก เพียงแต่ละฟาร์มผลิตเท่ากับจำนวนลูกค้าที่ตนเองมีอยู่ โดยเริ่มจากสำรวจว่า ลูกค้าของตนมีความต้องการไข่วันละเท่าใด จากนั้นก็วางแผนผลิตให้สมดุลย์กับความต้องการ และไม่ขยายกำลังการผลิตหากไม่มีตลาดรองรับเพิ่ม เพียงเท่านี้ก็แก้ปัญหาไข่ล้นตลาดได้แล้ว แต่ที่ผ่านมาผู้เลี้ยงส่วนใหญ่เมื่อมีกำไรก็ขยายการเลี้ยง พอผลผลิตเพิ่มขึ้น ก็ไม่มีตลาดรองรับ และต้องเทขายออกมาในราคาต่ำ ถูกพ่อค้ากดราคา เกิดผลกระทบทั้งระบบ
สำหรับภาคใต้ มีเกษตรกรบางรายขยายการเลี้ยงเพิ่มเล็กน้อย จึงไม่เกิดปัญหามากนัก เนื่องจากเกษตรกรในพื้นที่พยายามควบคุมปริมาณการเลี้ยงตามความต้องการ ตลาดมีเท่าใด ก็เลี้ยงเท่านั้น ซึ่งถือว่า เป็นวิธีการที่ดีที่สุด เป็นการเลี้ยงไม่ให้ไข่ไก่ล้นตลาด ไม่ว่าราคาลูกไก่และไก่สาวจะถูกอย่างไร หากไม่มีตลาดที่แน่นอนรองรับ ก็ไม่เพิ่มกำลังการผลิต นอกจากนี้ยังมีการประชุมร่วมกันของชมรมในแต่ละจังหวัด เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล และให้ความช่วยเหลือกัน ทำให้บริหารจัดการปริมาณไข่ในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี แม้จะมีบางรายที่ไม่ให้ความร่วมมือ แต่ก็พยายามหามาตรการจัดการ เพื่อให้ผู้เลี้ยงทุกคนได้รับประโยชน์ร่วมกัน
กำนันมาโนช ชูทับทิม อดีตนายกสมาคมผู้เลี้ยงไก่ไข่ กล่าวเสริมตอนท้ายว่า ปัญหาไข่ไก่ถือเป็นปัญหาของเกษตรกรผู้เลี้ยงแน่นอน เพราะต้องยอมรับความจริงว่า เราเป็นคนเลี้ยงก็เป็นคนสร้างปัญหา และต้องแก้ปัญหาด้วยตนเอง แม้จะทำได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากเกษตรกรมีหลากหลาย แต่ต้องพยายามเดินหน้ากันต่อไป ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความสมัครสมานสามัคคีของเกษตรกรผู้เลี้ยงทุกราย จึงจะประสบความสำเร็จได้.... |
|
ข้อมูลโดย นิตยสาร พิก แอนด์ พอร์ค |
|
|
|
|
|