|
|
ราคาสุกรกระเตื้อง ตามปริมาณที่ลดลง |
|
|
|
|
นับแต่เริ่มศักราชใหม่ บรรดาผู้เลี้ยงสุกรก็เริ่มมีความหวังและรอยยิ้มขึ้นมาจากราคาหน้าฟาร์มที่ขยับตัวสูงขึ้น ต่างจากปีที่ผ่านมา ผู้เลี้ยงต้องแบกรับภาระขาดทุนจากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอาหารสัตว์ แต่ราคาสุกรกลับตกต่ำ ทำให้ผู้เลี้ยงรายกลางและรายย่อย ที่ทนรับภาระดังกล่าวไม่ไหวและหยุดการเลี้ยงไปในที่สุด อย่างไรก็ตาม การปรับเพิ่มราคาขายหน้าฟาร์มมาอยู่ที่ 58-59 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา นายสุรชัย สุทธิธรรม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ บอกว่า ก็ยังเป็นราคาที่ยังคงต่ำกว่าราคาต้นทุนสุกรเป็นหน้าฟาร์มในปัจจุบันซึ่งสูงถึงที่ 60-62 บาทต่อกิโลกรัม จากราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ปรับขึ้นทั่วโลก 30-40 เปอร์เซ็นต์ |
|
และการปรับเพิ่มราคาขายหน้าฟาร์มจะเกิดขึ้นเพียงเฉพาะในช่วงเวลาสั้นๆ คือในช่วงเทศกาลต่างๆ เพราะเป็นช่วงที่มีความต้องการบริโภคเนื้อสุกรเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น จึงไม่สามารถทำให้ผู้เลี้ยงหลุดพ้นจากภาวะที่เรียกว่าเฉลี่ยทั้งปีแล้วยังประสบกับภาวะขาดทุน ความช่วยเหลือจากการปรับราคาข้างต้นจึงนับเป็นการช่วยต่อลมหายใจเกษตรกรผู้เลี้ยงในช่วงที่ต้องแบกภาระการขาดทุน
|
“ภาวะขาดทุนสาหัสเกิดขึ้นต่อเนื่องมามากกว่า 7 เดือน โดยเฉพาะในเดือนเมษายน-ธันวาคมในปีที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรต้องขายขาดทุนมาโดยตลอด โดยต้องประสบกับราคาขายที่ตกต่ำถึง 45 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ราคาต้นทุนในช่วงนั้นอยู่ที่ 57-58 บาทต่อกิโลกรัม การปรับเพิ่มราคาเพียงเล็กน้อยก็นับเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงฯให้อยู่รอด” นายสุรชัยกล่าว
ด้านนายกิดดิวงศ์ สมบูรณ์ธรรม ที่ปรึกษาผู้ประกอบการเลี้ยงสุกรอาเซียน ให้ข้อมูล แนวโน้มราคาเนื้อสุกรว่า ยังมีโอกาสปรับขึ้นได้อีกไปจนถึงเทศกาลตรุษจีน โดยราคาสุกรเป็นหน้าฟาร์มอาจปรับขึ้นอีกถึงกิโลกรัมละ 70 บาท ซึ่งส่งผลถึงราคาเนื้อแดงในตลาดปรับขึ้นอีก 10 บาท จากเดิมกิโลกรัมละ 130 บาท เป็นกิโลกรัมละ 140 บาท แต่ราคาเนื้อสุกรบางตลาดอาจพุ่งถึง 150 บาท หากไม่ใช่เนื้อสุกรสันในหรือเนื้อสุกรคุณภาพ ถือเป็นการฉวยโอกาสขึ้นราคาเกินจริง กระทรวงพาณิชย์ต้องเข้มงวดเพื่อไม่ให้ผู้บริโภคถูกเปรียบ
“ราคากรที่เพิ่มขึ้น ก็มาจากหลายปัจจัย ที่สำคัญคือ ปริมาณเนื้อสุกรที่ออกสู่ตลาดน้อยลง เพราะหลังจากมีปัญหาโรคระบาดตั้งแต่เดือนตุลาคม-พฤศจิกายนเมื่อปีที่ผ่านมา ทำให้ผลผลิตสุกรมีปริมาณต่ำกว่าความต้องการบริโภคถึง 5-10 เปอร์เซ็นต์ และประกอบใกล้เทศกาลตรุษจีนที่มีความต้องการนำสุกรไปเซ่นไหว้จำนวนมาก ยิ่งทำให้มีความต้องการมากขึ้น นอกจากนี้ต้นทุนการเลี้ยงที่สูงขึ้น จากเดิมกิโลกรัมละ 59-60 บาท เป็น กิโลกรัมละ 62 บาท เพราะอาหารสัตว์ปรับราคาขึ้นตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา จากเดิมเฉลี่ยกิโลกรัมละ 11-12 บาท มาเป็น กิโลกรัมละ 12-13 บาท ตามราคาวัตถุดิบหลักอย่างถัวเหลือและข้าวโพดที่ขึ้นราคา โดยราคาอาหารสัตว์ที่เพิ่มขึ้นราคากิโลกรัมละ 1 บาท จะทำให้ต้นทุนการเลี้ยงสุกรต่อตัวเพิ่มขึ้นถึง 300 บาท เลยทีเดียว” นายกิดดิวงศ์ กล่าว |
|
ข้อมูลโดย นิตยสาร พิก แอนด์ พอร์ค |
|
|